คอนเสิร์ตมีหลายแบบ แบบแรกทำให้เราได้สนุกและเพลิดเพลินกับแสงสี ทำงานมาเหนื่อย ๆ พอได้ฟังเพลงดี ๆ กับเวทีที่จัดมาอย่างเต็มที่ก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอยู่ ส่วนอีกแบบช่วยสร้างประสบการณ์ดี ๆ ช่วยเปลี่ยนแนวคิด ความรู้สึก และความฝัน…
Snow Man ไม่ได้มาแค่ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาสร้างโชว์ที่เต็มไปด้วยพลัง สร้างแรงบันดาลใจและชีวิตชีวา และตอนนี้คอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาสามารถรับชมได้แล้วทั่วโลกผ่าน Netflix ที่มาพร้อมกับไดอารี่เบื้องหลัง พาคุณไปนั่งติดเก้าอี้แถวหน้ากับวงที่นอกจากจะร้อนแรงที่สุดในวงการเจป็อปแล้ว ยังได้มีโอกาสตามติดเส้นทางสู่ทัวร์ในสเตเดียมครั้งแรกของพวกเขาอีกด้วย
ขอต้อนรับสู่ SNOW WORLD
คอนเสิร์ตแรกของทัวร์จัดขึ้นที่ National Stadium ในโตเกียว (ถ่ายเมื่อวันที่ 19-20 เมษายน) หนุ่ม ๆ ทั้งเก้าผู้มากพรสวรรค์เปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับแสงดาวที่สาดส่องไปหาแฟน ๆ กว่า 280,00 คนที่รับชมด้วยความตื่นเต้น
Hikaru Iwamoto คือลีดเดอร์มือทองของวง คอยคุมเวทีด้วยความเป๊ะระดับเครื่องจักรและเสน่ห์ที่โปรยอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว และสายตาที่จับจ้องมาก็ทำให้ใจละลายได้เสมอ
Tatsuya Fukasawa ยังเป็นตัวแสบของวงเหมือนเคย ชอบเล่นแหย่กับคนดูและกล้องไม่เคยขาด พร้อมใช้รอยยิ้มพราวเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ทำให้แฟน ๆ อบอุ่นใจไปตาม ๆ กัน
ส่วน Raul น้องเล็กสุดของวงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยออร่า เขาไม่ได้มาแสดงเฉย ๆ เพราะเขาโดดเด่นบนเวทีเหมือนพื้นที่นี้จัดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
Shota Watanabe คือชายหนุ่มที่ใช้ความใสซื่อในการดึงดูดผู้คน น้ำเสียงกึกก้องราวกับมาจากฟากฟ้า เป็นคนที่ทั้งร่างกายและโทนเสียงทำให้เราอ่อนระทวยได้ในพริบตา
Ren Meguro คือคนสองร่าง ที่มีทั้งมุมเซ็กซี่เข้มขรึมที่แอบซ่อนความลึกซึ้งไว้ในใจ แต่ในอีกมุมก็สามารถโชว์ความขี้เล่นออกมาได้เสมอ
Koji Mukai คือหัวใจสำคัญของวงที่เท่ได้แบบไม่ต้องพยายาม คาแรกเตอร์มาดนิ่ง ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาสปอตไลต์ เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะสามารถเป็นจุดเด่นได้เสมอ
Ryohei Abe คือจิตวิญญาณของวง ทั้งเสียงที่อบอุ่น มั่นคง แต่แฝงด้วยพลัง ไม่ว่าโชว์จะอลังการแค่ไหน เขาก็สามารถเพิ่มระดับอารมณ์ให้แมตช์กันได้เสมอ
Ryota Miyadate มีความสง่าและโรแมนติกในเวลาเดียวกัน ราวกับราชาแห่งหัวใจที่ห่อหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ ทุกการเคลื่อนไหวมีความเป็นละครเวที และทุกโน๊ตที่เปล่งออกมาคือจดหมายรักที่ส่งตรงถึงแฟน ๆ
และสุดท้ายคือ Daisuke Sakuma ตัวป่วนแบบไม่มีกั๊กที่มาพร้อมความน่ารักน่าเอ็นดู เป็นเหมือนพลุที่พร้อมจะสร้างเสียงหัวเราะได้ตลอด
ไม่รู้ทำไม เวลาที่ทั้งเก้าคนมารวมตัวกัน มันมักจะกลายเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ได้เสมอ
คอนเสิร์ตเปิดฉากด้วยสามเพลงยอดฮิตที่แฟน ๆ ต่างตั้งตารอคอย ไม่ว่าจะเป็น 「Crazy F‑R‑E‑S‑H Beat」, 「EVOLUTION」 หรือ 「POWEEEEER」 ล้วนแล้วเรียกเสียงเชียร์จนกระหึ่มไปทั่วสเตเดียม การออกแบบเวทีคืออลังการมาก ทั้งแท่นเลื่อนสิบหกอัน รถแทรมวิ่งตัดผ่านกลางสนาม รวมถึงโชว์น้ำที่จัดเต็ม
ในเพลง 「Namida no Umi wo Koete」 มีหมอก 220 ตันที่สูง 20 เมตรลอยขึ้นกลางอากาศยามค่ำคืน เปลี่ยนทั้งสเตเดียมให้กลายเป็นโลกแห่งความฝันที่เปล่งประกาย
หนึ่งในหลายไฮไลต์ (เยอะมาก) ที่น่าสนใจคือตอนที่ Iwamoto โชว์โซโล่กลองสุดเดือด ก่อนที่วงมาร์ชชิ่งกว่าเจ็ดสิบคนจะขึ้นมาบนเวทีพร้อมเวอร์ชันรีมิกซ์ของเพลงที่เซ็กซี่ที่สุดของวงเพลงหนึ่งอย่าง 「Tic Tac Toe」
นี่ยังไม่หมดนะ มาร์ชชิ่งแบนด์ค่อย ๆ ไหลเข้าช่วงเพลงฮิตแบบไม่มีหยุดพักด้วยเพลง 「Kissin’ My Lips」 และ 「LOVE TRIGGER」 ก่อนที่จะปล่อยพลังเต็มที่ให้กับ 「Cry Out」 เล่นเอาหลังคาแทบปลิว (แม้ว่าจะเป็นคอนกลางแจ้งก็เถอะ)
แฟน ๆ ส่งเสียงกรี๊ดแบบสุดตัว
Raul เต้นมันมากจนรองเท้าหลุดสองข้าง ดีนะที่เจ้าขายพราวเสน่ห์อย่าง Koji ไปหยิบกลับมาให้เขาจากกลางเวที เปิดทางให้ Sakuma ใช้โอกาสนี้ตั้งฉายาให้ Raul ว่า “ซินเดอเรลล่า” ในช่วง MC
🎧 Listen here.
อีกหนึ่งไฮไลต์เด็ดคือการแสดงเพลงโซโล่ทั้งเก้าเพลงจากอัลบั้มล่าสุด THE BEST 2020–2025 พร้อมให้ฟังแล้วในทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง:
🎧 ฟังเลย
ส่วนตัวแล้วรู้สึกฟินมากที่ได้ดูโชว์ 「EMPIRE」 เพราะเป็นเพลงโปรดอยู่ด้วยแล้ว แล้วยิ่งมาเจอวิชวลแบบนี้อีกก็คือยกระดับไปอีกขั้นเลย แล้วก็มาถึงช่วง Mashup โอ๊ย บอกเลยว่าไม่ไหว กำลังเพลินกับความละมุนใน 「Slow…」 อยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีก็เปลี่ยนมาเป็นเพลงเดือด ๆ อย่าง 「BREAKOUT」 เฉยเลย นี่นึกว่าเน็ตกระตุกด้วยซ้ำ พอตั้งสติได้แล้วคือช็อค ถูกใจมาก ขอเวอร์ชันสตูดิโอด่วน
ถ้าถามถึงช่วงหนึ่งที่ชอบที่สุดจากคอนเสิร์ต สิ่งนั้นคือการได้เข้าใจว่าวงพูดอะไรในช่วง MC มันทำให้ดูเป็นกันเองและอบอุ่นขึ้นเยอะเลย อินมากในทุกวินาที
ในช่วง encore พวกเขาปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยเพลง 「Snow World」 มิวสิควิดีโอโปรดที่สุดตลอดกาลของฉันเอง ตามด้วย 「Kimi no Kareshi ni Naritai」 ไหลเข้าเพลงน่ารักที่เต็มไปด้วยความสนุกอย่าง 「KANPAI Year!!」 และสุดท้าย 「We’ll Go Together」
จากนั้นท้องฟ้าก็สว่างวาบจากพลุ 3,500 นัด แต่ละนัดแตกกระจายเป็นสีประจำตัวของเมมเบอร์ทั้งเก้า สวยเกินจริงจนแทบจะลืมหายใจ นี่เป็นโชว์ที่มีแค่ Snow Man เท่านั้นที่ทำได้
ครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเอง แต่แฟน ๆ ทั่วโลกก็จะมีโอกาสได้สัมผัสพลังแห่งความเปล่งประกายของ Snow Man ได้เหมือนกับฉันที่คอยติดตามมาตลอดสี่ปี รู้แค่นี้ก็เติมเต็มหัวใจฉันได้แบบสมบูรณ์แล้ว
เดี๋ยวมีคอนเทนต์ Snow Man มาอีกเรื่อย ๆ…
คอยติดตามกันด้วยนะ